วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ให้ยาเคมี (คีโม) เข็มที่สอง

คุณหมอนภดลนัดวันที่ 28 เมษายน 2555 เวลาบ่ายสามโมงห้านาที แต่คุณหมอมาประมาณสี่โมงครึ่ง เช่นเคย ยังคงความล่าช้าได้เสมอต้นเสมอปลาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบอกว่าเราจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ เราเห็นตัวเลขจากที่เราเอารายงานไปศูนย์มะเร็ง เหลือประมาณ 1800 หน่วย ซึ่งไม่ถึงเกณฑ์ เราก็เลยกลับมาบำรุง กินข้าวเยอะขึ้น กินน้ำผักผลไม่ที่ปั่นกินเอง พอไปตรวจเลือด ก็สวดภาวนา ให้ผ่าน จะได้เริ่มให้คีโมเข็มที่สอง พอได้พบคุณหมอ ปรากฏว่าผลเลือดกลับมาเป็นปกติแล้ว เราก็คิดว่าคงเป็นเพราะน้ำผักผลไม้ปั่นที่ได้สูตรมาจากน้องผู้หวังดี ส่งอีเมลมาให้ ก็เลยทำตาม แต่คุณหมอบอกว่าไม่เกี่ยวหรอก อาหารที่จะทำให้เลือดดีขึ้นคือพวกโปรตีน เนื้อสัตว์ ไม่ใช้ผักผลไม่ปั่น ยังบอกอีกว่ากินเยอะไม่ดีนะ เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ง่าย เราก็ฟัง แต่ก็ยังจะกินต่อไป หลังจากออกจากห้องคุณหมอ พยาบาลก็มาบอกว่า คุณหมอนัดให้ Admid เลยวันนี้ เราก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วเอากระเป๋าโดราเอม่อนมาด้วย มีทุกอย่างในนี้อยู่แล้ว ก็อยู่ห้องตามสิทธิ์ คือห้องพิเศษเตียงคู่ ไปนอนก็มีคนนอนอยู่ก่อนแล้ว ค่อยยังชั่วมีเพื่อน เลยโทรบอกน้องคนเล็กว่า วันนี้ไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนก็ได้ มีเพื่อนอยู่แล้ว เพราะน้องเค้าก็ยังงานไมเสร็จ ให้เค้าพักผ่อนเราช่วยเหลือตัวเองได้ โทรบอกคุณว่า วันนี้หมอนัด Admid แล้วนะ คุณก็บอกว่าใครจะไปอยู่เป็นเพื่อนไหม เราบอกอยู่คนเดียว แต่มีเพื่อนอยู่อีกเตียง คุณบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อน สองทุ่มจะไปหา เราก็บอกน้องคนเล็กว่า คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อน สองทุ่มคุณก็มา ถามว่ากินอะไรหรือยัง เรากินแล้ว ก็เลยให้คุณลงไปหาอะไรกินข้างล่าง เช้าคุณก็กลับไปเดรียมตัวทำงาน ตอนห้าโมงเย็นคุณโทรมาว่าเสร็จหรือยัง ยังติดงานอยู่เลย ไม่ได้ไปรับ เราได้ให้ยาตอนบ่ายสองของวันที่ 29 เมษายน กว่าจะจบก็คงจะหกโมงเย็น ซึ่งก็จริงๆ ด้วย เรากลับเองได้ ไม่ได้มีอาการอะไร น้องคนเล็กมารับเพราะเค้าก็ไปหาหมออีกโรงพยาบาล คุณพยาบาลเบิกที่ติดพุงมาให้ตั้ง 5 ชุด ใจดีจังเลย จะได้ไม่ต้องไปซื้อเพิ่ม เปลืองงบ คุณหมอนัดอีกที่ 19 พฤษภาคม ให้ยาเข็มที่สาม แต่ก็ต้องดูผลเลือดก่อน เราจะพยายามกินให้ได้เลือดให้ดี จะได้เป็นไปตามแผนการรักษา ตามระยะเวลาที่กำหนด อยากให้จบไปเร็ว ๆ ตอนเย็นกลับมานอนบ้าน ผมร่วงเยอะมากกกก จนหัวโล้นไปเลย จึงให้น้องคนเล็กตัดให้สั้นที่สุดจนเหลือแต่ตอ แล้วค่อยใส่วิกเวลาออกจากบ้าน เวลาอยู่บ้านก็ปล่อยโล่ง คุณเห็นก็ไม่ว่าอะไร ไม่ล้อ บอกให้โกนเลยจะได้สบายหัว ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวก็ขึ้นสวยกว่าเดิมอีก พอใส่วิกให้ดู คุณบอกว่าเชื่อแล้วว่า ไก่งานเพราะขน คนงามเพราะแต่ง อยากจะชกจริง ๆ เพราะเราไม่แต่งก็งามอยู่แล้ว 555 เช้าวันที่ 30 เราก็ตื่นตีสี่ครึ่งไม่มีอาการอะไร เลยดินทางกลับโคราชเลย ขึ้นรถตู้เที่ยวหกโมงเช้า ถึงปักธงชัย สี่โมงเช้า รวดเร็วดีจัง แล้วก็มานอนพักอยู่บ้าน เริ่มมีอาการชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า และท้องผูก กินข้าวได้น้อยลง ไม่หิว แต่ไม่ถึงกับเบื่ออาหารยังกินได้ แต่อิ่มเร็ว ไม่อยากกินอะไรต่ออีก มีแต่อาการเพลีย อยากนอนพัก และอีกอาการที่ไม่เคยเป็นแต่คราวนี้เป็นคือ เวลาฉี่ก็ฉี่ได้ปกติ แต่พอตอนจะจบจะปวดเหมือนปวดกระเพราะปัสสาวะอักเสบ ต้อนท้าย ๆ หรือเพราะพิษยา เพราะเราไม่ค่อยได้ฉี่ อยู่บนรถตู้ 4 ชั่วโมงไม่ได้ฉี่เลย หกโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวจะอาบน้ำแล้วนอนเลย เพราะเหมือนร่างกายอยากพักผ่อน จะกินยาระบายสักสองเม็ด ช่วยอาการท้องผูกลงบ้าง ยังไม่ปวดเลยยังไม่กินยาแก้ปวด ดูพรุ่งนี้ว่าอาการจะเป็นยังไง แล้วจะมาล่าต่อ

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

Otomen ยอดชายหัวใจแหวว

เมื่อกัปตันหนุ่มชมรมเคนโด้อย่างมาซามุ เนะ อาซุกะที่เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน กลับมีความลับที่ปิดทุกคนไว้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นหนุ่มแหวว หรือก็คือการชื่นชอบของน่ารักๆ มีรสนิยมและความคิดอย่างสาวน้อยเต็มรูปแบบ ชายหนุ่มที่ไม่คิดเลยว่าความลับที่ปกปิดไว้มาตั้งแต่เด็กนี้ จะถูกเพื่อนร่วมชั้นอย่างทาจิบานะ จูตะล่วงรู้เข้า และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ การที่เขาตกหลุมรักมายาโกะสึกะ เรียว สาวงามที่เชียวชาญศิลปะการต่อสู้ขนาดผู้ชายยังอาย หนุ่มแหวว คือ คำที่ใช้เรียกชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติดังนี้ 1. มีรสนิยมความคิดแบบสาวน้อย 2. มีความสามารถในด้านงานบ้านเหมือนคุณแม่ เช่นทำอาหาร เย็บปักถักร้อย 3. มีจิตใจแบบสาวน้อย 100% Okada Masaki รับบท มาซามุเนะ อาสุกะ นักเรียน ม.ปลาย ผู้เป็นถึงกัปตันชมรมเคนโด้ของโรงเรียน ม.ปลายกินยูริ หน้าตาหล่อเหลา การเรียนเป็นเลิศ เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับในการเป็นสุภาพบุรุษที่เต็มไป ด้วยความสามารถ ทว่าที่จริงแล้วอาสุกะกลับเป็น หนุ่มแหววที่ชอบของน่ารักๆ Kaho รับบท มิ ยาโกะสึกะ เรียว สาวงามที่มีจิตใจอ่อนโยนซื่อบริสุทธิ์ เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของอาสุกะที่ทุกคนต่างมองว่าเป็นสาวงามที่เพียบพร้อม สมกับเป็นกุลสตรี หากที่จริงแล้วความสามารถในด้านความเป็นผู้หญิงของเธอนั้นเข้าขั้นติดลบ กลับกันกลับความสามารถในด้านการต่อสู้ที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อาสุกะมีใจให้กับเธอแม้ว่าจะรู้ถึงจุดนั้นก็ตาม Sano Kazuma รับบท ทาจิบานะ จูตะ เพื่อนร่วมชั้นของอาสุกะ เป็นคนที่เต็มไปด้วยความลับมากที่สุด และความลับที่เขาปิดบังไว้ไม่มีใครรู้ก็คือการที่เขานี่แหละคือ จูเอล ซาจิฮานะ นักเขียนการ์ตูนผู้หญิงในนิตยสารฮานะโตะมาเมะ ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ก็ทีแต่คุโรโกะผู้เป็นน้องสาว Kimura Ryo รับบท โทโนะมิเนะ ฮาจิเมะ ชายหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มอันธพาลที่มีความแค้นกับอาสุกะฝังใจ เขาย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับอาสุกะ เขามีนิสัยตรงไปตรงมา เข้มแข็ง และตั้งอาสุกะเป็นคู่แข่ง โดยคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นไปชั่วชีวิต ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูเป็นดุและหยิ่งก็ตาม ที่จริงแล้วโทโนะมิเนะก้เป็นหนุ่มแหววอีกคนหนึ่งซึ่งมีพรสวรรค์ในด้านการ แต่งหน้าทำผม ชื่นชอบสีสันต่างๆ ของเครื่องสำอางค์

Buzzer Beat

เรื่องราวความรักสามเศร้าของ คามิยะ นาโอกิ (ยามะพี) นักบาสสุดหล่อ แห่งทีมบาสเก็ตบอลอาชีพ JC Arcs นาโอกิมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากตั้งแต่สมัยเรียน หลังจากสามารถทำให้ทีมได้รับชัยชนะเพราะการทำคะแนนในช่วงก่อนหมดเวลาตอนเป็นนักเรียนประถม แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สโมสรต้นสังกัดของนาโอกินั้นกำลังจะปิดตัวลงด้วยเหตุผลยอดฮิตก็คือสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเป็นช่วงที่นาโอกิเองก็ฟอร์มตกด้วยเช่นกัน ทำให้แผนการที่นาโอกิ จะแต่งงานกับแฟนสาว เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมเชียร์ลีดเดอร์ JC Arcs นานามิ นัตสึกิ (คันจิยะ ชิโฮริ) ต้องชะงักลง นัตสึกิเป็นหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ รุ่นน้องต่างก็ชื่นชมในความสามารถของเธอ เธอตั้งใจและหมั่นปรับปรุงทุ่มเทให้กับการเรียนเต้น เธอคบกับนาโอกิผู้ซึ่งไม่คาดหวังกับอนาคตข้างหน้าอย่างไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เธอเป็นคนทะเยอทะยานทำทุกๆ สิ่งเพื่อให้เธอประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งไว้ จากความแตกต่างทำให้ทั้งสองคนเริ่มระหองระแหงกัน เรียกได้ว่านาโอกิเองเจอมรสุมชีวิตเข้าแล้วละ มีปัญหามากมายรุมเร้า นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักบาสเก็ตบอลแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องความรักด้วย ทำให้ความเชื่อมั่นของเค้าเริ่มลดลง นาโอกิเองก็รับความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงระหว่างเขากับนัตสึกิได้ แต่เค้าก็ยังไม่ทำอะไรให้เด็ดขาดเสียที จนวันหนึ่งพายุใหญ่ก็พัดมา พวกเค้าทะเลาะกันอย่างรุนแรง และนาโอกิเองก็ไม่สามารถติดต่อนัตสึกิได้หลังจากนั้น ทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากจึงออกตามหาเธอ ระหว่างที่เค้าตามหานัตสึกิ โชคชะตาได้นำพาให้ นาโอกิ ได้มาพบกับ ชิราซาว่า ริโกะ (คิตะงาว่า เคโกะ) หญิงสาวที่ตั้งใจและใฝ่ฝัน ที่จะเป็นนักไวโอลินมืออาชีพ เธอเป็นคนร่าเริง สดใส น่ารัก มองโลกในแง่ดี และเธอก็ดีกับทุกคน เชื่อมั่นในตัวเอง แต่มักจะชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้านอยู่บ่อยๆ เธอรักความซื่อสัตย์เป็นที่สุด ริโกะทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านหนังสือ นาโอกิเองก็เริ่มมีรู้สึกดีกับเธอเพราะเวลาที่เค้ามีปัญหาก็สามารถคุยกับริโกะได้ทุกเรื่อง เธอให้กำลังใจเค้าเสมอ ความรู้สึกที่ดีเริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจของนาโอกิแล้วสิ เรื่องราวก็น่าจะราบรื่นดี ถ้าไม่เกิดรักสามเศร้าขึ้นมาซะก่อน เมื่อ คาวาซากิ โทโมยะ (อิโตะ ฮิเดอากิ) โค้ชของทีม JC Arcs เป็นผู้ชายอ่อนโยนในชุดสูทแสนจะดูดี และเค้าเป็นคนที่ทำให้นาโอกิรู้สึกว่าด้อยกว่าเสมอ โทโมยะตกหลุมรักริโกะตั้งแต่แรกพบ และเค้าก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หัวใจของริโกะมาครอบครอง คราวนี้น่าโอกิผู้ขาดความมั่นใจในตัวเองของเราจะทำอย่างไร เขาจะสามารถพิชิตหัวใจของริโกะได้หรือไม่ เรื่องราวความรักของพวกเค้าจะลงเอยอย่างไร ติดตามเอาใจช่วยพวกเค้าได้ใน Buzzer Beat ความยาว: 11 ตอนจบ **************** ยังมีสกรีน + ปก แจกฟรีอีกเยะ เข้าไปแวะเยี่ยมชมได้ที่นี่ค่ะ http://www.allloveseries.com/thread.php?fid=18 แต่ต้องสมัครสมาชิกก่อนนะคะ ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับสกรีนที่แจกฟรี แต่ถ้าอยากให้ใหม่ ๆ ค่าสมาชิกก็ไม่แพงค่ะ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาตัวค่ะ

เริ่มต้นการให้เคมีบำบัด (คีโม) เข็มที่หนึ่ง

25 มีนาคม คุณหมอลักษณา นัดให้ไปพบกับคุณหมอเคเณตร์ ที่เป็นคนผ่าตัดและเชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เพื่อทำการนัดทำคีโมต่อไป พอพบคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่า จะต้องทำการให้คีโม 6 เข็ม และให้สูตร์ยาคีโมตัวที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนไข้มากนัก แต่แน่นอนผมจะร่วง ปวดเมื่อยตามร่างกาย คลื่นใส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย แต่ก็จะมียาช่วยหากเป็นเยอะ แล้วก็บอกว่า ขณะให้ยา เม็ดเลือดขาวจะลดลง ต้องไม่อยู่ในที่ ๆ คนเยอะๆ เช่นห้างสรรพสินค้า เพราะช่วงให้ยาเราจะอ่อนแอมาก ง่ายต่อการติดเชื้อ แล้วก็นัดหมายให้มาเจอกับคุณหมอนภดล ซึ่งเป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญทางการการให้เคมีโดยเฉพาะให้อีก 1 สัปดาห์ต่อมา พร้อมตรวจเลือด
วันที่ 7 เมษายน ก็มาพบคุณหมอนภดล รอนานมาก ตั้งแต่ บ่ายสองโมงกว่าจะได้พบ 4 โมงเย็นเข้าไปแล้ว พอเข้าไปพบ คุณหมอกลับบอกว่าไม่ทราบเรื่อง ว่าคุณหมอคเณตร์สั่งยาตัวไหนไว้ กี่เข็ม เราก็บอกว่าคุณหมอบอกสูตรยาให้แล้ว และบอกว่าจะต้องให้หกเข็ม แต่ระยะห่างแต่ละเข็มให้มาถามคุณหมอนภดลเอง เค้าก็บอกให้เราออกมาข้างนอกก่อนขอต่อสายคุยกับคุณหมอคเณตร์กอ่น จากนั้นก็เรียกเราเข้าไปไหม่ แล้วบอกว่า ตกลงกันได้แล้ว จริงๆ คุณหมอคเณตร์บอกและเขียนไว้แล้วในประวัติการรักษา แต่คุณหมอนภดลมองไม่เห็น พอเราถามว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ก็บอกแค่ว่า จะมีชาตามมือตามเท้านะ เราก็ถามว่าจะปวดตัวปวดกระดูกไหม ก็บอกว่า “ก็มีนะ แล้วแต่คน” เราไม่ค่อยประทับใจการรักษาของคุณหมอท่านนี้เท่าไหร่ ดูรีบ ๆ ไม่ค่อยใส่ใจคนไข้ มาสายทุกครั้ง แต่เข้าไปในห้องพบหมอไม่ถึง 5 นาที ถามอะไรก็ตอบไม่ได้ ถามว่าวันนี้จะได้ให้ยาเลยไหม ก็ตอบว่าให้มาถามพบายาล เดี๋ยวเค้าจะนัดหมายอีกที เราถามเยอะจำไม่ได้ถามอะไรมั่ง เราคุณหมอไม่มองหน้าเราเลย ก้มหน้ากุ้มตาเขียนอะไรบางอย่างในประวัติการรักษา เราก็เลยเงียบ จึงเงยหน้ามาถามเราว่า กลัวไหม ถ้าเครียดจะให้ยาคลายเครียด เราแบบว่าอิ้งเลย เรากลายเป็นคนเครียดในสายตาหมอ ที่จริงเราไม่ได้กลัว แต่เราไม่ได้คำตอบที่เราถามไปก็เลยถามเยอะ เพราะเราไม่รู้ เราไม่เคยเป็นมะเร็ง เราอยากรู้ไว้ หากมีอะไรที่มากกว่าที่หมอบอกว่า มันเหมือนผิดปกติ จะได้มาพบหมอหากมีอะไรที่ไม่ปกติขึ้นมา จนมานั่งรอนัดหมายก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ให้ยาวันไหน แล้วพยาบาลก็เดินมาบอกว่า คุณหมอนัด Admid จะนอนวันนี้เลยไหม มียาพร้อมแล้ว เราก็บอกว่าตกลง วันนี้เลยก็ได้ เพราะเราอยากให้ยาเร็ว ๆ จะได้รู้กันไปเลย จบการรักษาไปซะที แล้วสักพักก็มีพยาบาลมาบอกว่า เตียงคนไข้ยังไม่ว่าง แต่มีแจ้งไว้ว่าจะมี 1 เตียงออกวันนี้ประมาณ 2 ทุ่ม แต่เป็นเตียงห้องพิเศษคู่ คนไข้ต้องจ่ายเพิ่ม 1700 บาท ตอนนั้นประมาณ 5 โมงเย็น กว่าจะสองทุ่มเราจะไปอยู่ไหน จะกลับบ้านแล้วกลับมาอีกก็เสียเวลา เลยบอกไปว่างั้นพรุ่งนี้มาได้ไหม เพราะไม่แน่ใจว่าหากเตียงนั้นไม่ออก เราก็รอเก้อ เค้าก็ออกใบนัดให้ พรุ่งนี้ 5 โมงเย็น เราก็มาตามนัด ก็นึกว่าจะให้ยาเลย พรุ่งนี้เช้าออกจากโรงพยาบาล หากไม่เป็นอะไรมาก จะได้กลับโคราชทันก่อนสงกรานต์ เพราะเรากลัวคนเยอะ รถเยอะ ไม่สะดวกเดินทางจริง ๆ กลายเป็นว่ายังไม่ให้ยา นอนเฉย ๆ รอจนวันรุ่งขึ้นวันที่ 9 รอจนเที่ยงก็ไม่มีใครมาบอกว่ารออะไร จนเดินไปถาม เค้ายอกว่ารอยา เภสัชยังไม่จ่ายยาให้ อ้าว.. แล้วเมื่อวานบอกมียาพร้อม แล้วทำไมวันนี้ไม่จ่ายยา รอจนเที่ยงครึ่งพยาบาลเดินมาบอกว่า ได้ยาแล้ว รอบ่ายโมงค่อยเริ่มให้ ตอนนี้ให้น้ำเกลือ ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ยาแก้แพ้ ไปก่อน จนบ่ายโมงมาเดินยาคีโม มี 2 ขวด 1 ขวด 500 ซีซี เหมือนกระปุกน้ำเกลือต้องให้ 3 ฃั่วโมง แต่อีก 1 ขวดเล็ก ให้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่เขาเข้าจริงๆ กว่าจะจบก็ 6 โมงเย็น จึงหมด เราก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้ อาการไม่มีอะไรเลย มีอ่อนเพลียนิดหน่อย ไม่วิงเวียนหรืออะไร ก็เลยนอนตื่นขึ้นมาไม่มีอะไรผิดปกติ เลยเดินทางกลับโคราชวันรุ่งขึ้นตอนตีห้าของวันที่ 10 รถไมเยอะ มาถึงโคราชสองวันก็ไม่เป็นอะไรมาก พอเย็นวันที่สามของการให้คีโม เริ่มปวดเมื่อยตามร่างกาย เช้าวันที่ 4 ปวดมาก ปวดในกระดูก ท้องผูก เป็นไข้ หนาว และอยากแต่จะนอนอย่างเดียว ในที่สุดก็วันนี้หลังจากตื่นตีห้าไปช่วยแม่ที่บ้านแม่ ไปใส่บาตรกลับมา นอนทั้งวัน มีไข้ช่วงเช้า เป็นแบบนี้อยู่ 2 วันหนัก ๆ วันที่สามค่อยเบาบางลงแต่มีอาการท้องผูกอยู่ ชาตามมือตามเท้าหนักขึ้นจนหยิบจับอะไรก็เจ็บไปหมด เรากินยาระบายไป 4 เม็ดกลีบมาถ่ายปกติ กินยาแก้ปวดทุกวัน สัปดาห์ที่สองเริ่มดีขึ้นไม่ปวดมาก นิดหน่อย ท้องไม่ผูก แต่ยังชาตามมือตามเท้าอยู่ แล้วเราก็เข้ากรุงเทพฯ ไปตรวจเลือดตามหมอนัด และไปเจอหมอที่ศูนย์มะเร็งกรุงเทพฯ อีก ทางคุณหมอดูแผล ดูผลเลือด บอกว่าม็ดเลือดขาวต่ำมาก แนะนำว่าให้หมอทางคีโมฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ แต่พอมาบอกคุณหมอนภดล กลายเป็นว่า มันไม่ถูกต้อง มันหลอกตัวเองให้กลับมากินเยอะๆ เราก็ถามไปว่าต้องกินอะไรบ้าง เพื่อกระตุ้นเม็ดเลือดขาว เค้าบอกว่า “กินข้าว” ก็กินอยู่ทุกวัน กินเยอะด้วย แต่ที่ถามคือเราต้องการรู้ว่าอะไรจะได้กินอันนั้นเพื่อช่วยเม็ดเลือดขาว ทำไมตอบแบบนั้น เราอารมณ์เสียกับหมอคนนี้หลายครั้งแล้ว ทุกครั้งจะมาสายมาก นัดคนไข้ 3 โมงเย็น ไม่เคยสักครั้งที่จะมาก่อน หรือมาตรงเวลา คนไข้รอนานคิวยาวเป็นหางว่าว พอเข้ามาตรวจการรักษาจริงๆ คนละไม่ถึง 5 นาที เราก็เลยแวะไปซื้อผักผลไม้มาเพื่อปั่นดื่มกินแทนน้ำ เผื่อจะช่วยได้ สัปดาห์ที่สามนี้ ผมร่วงเยอะมาก แค่เอามือลูบไปก็หลุดร่วงเป็นกำมือ หวีผมทีผมแทบหมอหัว กังวลมาก รับไม่ได้ที่จะหัวโล้น แต่ก็ซื้อวิกมาแล้ว พรุ่งนี้วันที่ 28 เมษา จะต้องเข้ากรุงเทพเพื่อพบหมอคนนี้อีกครั้งว่าเลือดจะผ่านหรือไม่ จะให้ยาเข็มที่สองได้เลยหรือเปล่า ภาวนาให้ได้ตามกำหนด เพราะเราก็กินทุกอย่างที่ขวางหน้า น้ำหนักก็ขึ้นมา 3 กิโลแล้ว นอนก็หลับ ก็ไม่รู้จะทำยังไงอีกแล้ว กำลังใจอาทิตย์นี้เริ่มถดถอย อากาศร้อน แม่หงุดหงิดจนบางครั้งทะเลาะกับหลานรัก ก็มาลงและหาเรื่องที่เรา จนเราร้องให้มา 2 วันแล้ว ไม่อยากเป็นภาระแม่ แต่ที่บ้านก็ไม่มีครัว ยังไม่ได้ต่อเติมครัว ไม่มีเครื่องครัวที่จะทำกินเอง ก็ต้องไปกินข้าวบ้านแม่ แล้วกลับมาอยู่บ้านตัวเอง แต่ก็ไม่สบายใจที่มีเรื่องเคืองใจกับแม่ เราก็ไม่ได้ทำตัวเป็นภาระอะไรมากทุกอย่างช่วยตัวเองได้หมด ก็แค่อาศัยไปกินข้าวด้วย กับข้าวเราไปใส่บาตรปากซอย เราก็ซื้อมากินเองบ้าง วันไหนมีตลาดนัดเราก็ไปซื้อมาไว้ ไข่ซื้อมาเป็นแผง ผลไม้ซื้อมาปั่นกินเอง กินข้าวก็ล้างจาน ถูบ้านให้ เราว่าเราไม่ได้เป็นภาระให้ใครมากมายนะ แต่เราก็ไม่สบายใจอยู่ดีที่มาอาศัยแม่แบบนี้ คนคุ้นเคยโทรมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบบ้าง เพื่อน ๆ ที่ทำงาน บ้าง พอมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป คุณโทรมาหาทุกวัน ถามว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง กินอะไรบ้าง มีอาการอะไรไหม พอเห็นเรากังวลเรื่องผมร่วง คุณบอกว่าช่างมันเถอะ ให้มันร่วงไป ไม่ต้องห่วงสวย เพราะยังไงพี่ก็รักเหมือนเดิม แค่นี้เราก็น้ำตาไหล เค้าจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน เราจะอยู่ได้นานแค่ไหน เค้าจะเสียเวลากับเราไปเฉย ๆ หรือเปล่า

การใส่แร่ ฝังสายแร่

คุณหมอเอกชัยบอกว่า ต้องมีการใส่แร่อีก 4 ครั้ง การใส่แร่คือการฉายรังสีชนิดหนึ่ง แต่เป็นการฉายรังสีชนิดที่ตรงจุด บริเวณที่ต้องการ อย่างเราเป็นที่มดลูก ได้ทำการตัดมดลูกทิ้งไปแล้ว คุณหมอบอกว่าก็จะใส่เครื่องมือไปแค่ในช่องคลอด ฉายรังสีเฉพาะตรงจุดที่ตัดจากมดลูกออก ฆ่าและยับรั้งการเจริญเติบโตมะเร็งจะลามลงมาปากมดลูก ช่องคลอด เรากลัวมาก ตื่นเต้นมาก ถามหมอว่าเจ็บมากไหม เพราะเรายังไม่มีครอบครัว ยังไม่มีแฟน ช่องคลอดเราไม่ได้ใช้งานอะไร เรากลัวมาก ทุกครั้งที่จะไปใส่แร่ก็ต้องตรวจเลือดก่อนเสมอ หากผลเลือดต่ำ คุณหมอก็จะยังไม่ทำการใส่แร่ให้ แต่เราไม่มีปัญหา เลือดผ่านตลอด เมื่อถึงเวลานัด พยาบาลนัดเข้าห้องเพื่อทำความสะอาดช่องคลอด และเตรียมขึ้นขาหยั่งรอคุณหมอมาใส่เครื่องมือ โดยคุณหมอจะทำการใส่สายปัสสาวะสวนเข้าไปก่อน สวนสด เจ็บมาก คุณหมอให้กินยาแก้ปวดก่อนเลยสองเม็ด เห็นเราเจ็บเลยสงสาร จากนั้นเอาเครื่องมือแพทย์เหมือนที่ตรวจภายใน คล้ายๆ กันนะ แต่ไม่เหมือนทีเดียว ใส่เข้าไป เราเจ็บมากกกกก เจ็บที่สุดจนน้ำตาไหล คุณหมอบอกเสร็จแล้ว นิดเดียว จากนั้นพยาบาลก็มาทำการล็อคเครื่องมือให้แน่น ไม่ให้ขยับกันการกระเทือน แล้วทำการเอกซ์เรย์ ถ่ายภาพ จากนั้นก็เข็นเยาเข้าไปในห้องฉายแร่ เราเจ็บและปวดตุ๊บๆ ที่ช่องคลอดตลอดเวลา นอนรอในห้องแร่ประมาณ 10 นาที พยาบาลก็เข้ามาเดิมน้ำเข้าไปใสสายปัสสาวะ เราถามว่าเติมทำไม เค้าบอกเพื่อให้กระเพราะปัสสาวะลอยตัว ไม่เสียดสีกับอวัยวะอื่น จะได้มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด พอเติมเข้าไป เราก็มีอาการปวดปัสสาวะทันที เค้าก็ทิ้งให้เราอยู่ในห้อง แล้วเริ่มเดิมเครื่องฉายแร่เข้าไป ประมาณ 10 นาทีจึงจบ เรารู้สึกไปเองหรือเปล่าระหว่างนั้น ร้อนมาก ทั้งที่ห้องก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เมื่อจบ พยาบาลก็มาเอาเครื่องมือแพทย์ออก พร้อมสายปัสสาวะ เราค่อยดีขึ้น ก็ยังเจ็บอยู่แต่ไม่มากเหมือนตอนแรก ต้องเตรียมผ้าอนามัยไปด้วย เพราะมีเลือดซึมออกมา จากนั้นก็กลีบบ้านได้ แล้วคุณหมอก็นัดอีกอาทิตย์ต่อมา พร้อมผลเลือดเหมือนเดิม ทำแบบนี้จนครบ 4 ครั้ง 1เดือนพอดี กว่าจะจบขั้นตอนนี้ เราเจ็บที่สุด เจ็บทุกครั้ง ทุกวันนี้ยังสยองกับการใส่แร่อยู่เลย แต่คุณหมอบอกว่า เราโชคดีแล้วที่ตัดมดลูก หากยังมีมดลูกอยู่ ก็ต้องใส่เครื่องมือลงไปในมดลูก เครื่องเครื่องมือถ่างมดลูกออกมา แล้วใช้ผ้ากลอสซับผนังมดลูกไว้ จึงจะฉายแสงได้ เจ็บกว่านี้หลายเท่า แต่เราแค่ในช่องคลอด ก็เจ็บเจียรตายแล้ว

เริ่มต้นด้วยการฉายแสง ฉายรังษี

หลังจากผ่าตัดผ่านพ้นไป สองสัปดาห์ คุณหมอลักษณาก็ทำเรื่องส่งตัวให้ไปฉายแสงที่ศูนย์มะเร็งกรุงเทพ ซอยอารีย์ 1 วันแรกที่ไป พ่อมาจากบ้านไปเป็นเพื่อน มีน้อง ๆ ไปกันหมดเลย พ่อเป็นห่วง ว่าจะเดินทางลำบากไหม จะไปยังไง เพราะว่ามันอยู่ไกลจากที่พักมาพอสมควร เดินทางโดยรถสองแถวออกจากซอยบ้าน ไปขึ้นรถไฟฟ้าแอร์พอร์ทลิงค์ที่สถานี หัวหมาก ไปลงสุดทางสถานีพญาไท แล้วต่อ BTS จากพญาไท ไปลงสถานีอารีย์ ตอนแรกไม่รู้เลยว่ามันอยู่ที่ไหนของอารีย์ ไกลแค่ไหน ลึกแค่ไหน เลยเรียกแทกซี่ไป ปรากฏว่าเข้ามาในซอยประมาณ 500 เมตรเอง โอเคเดินทางสบาย เดินเข้ามาเองได้ ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ หมอนัดสามโมงเช้า แต่ปรากฏว่าหมอมาเกือบเที่ยง รอแล้วรอเล่า จนหงุดหงิด ในที่สุดก็ได้พบหมอ ชื่อคุณหมอเอกชัย คุณหมอให้ทำการฉายแสง 25 ครั้ง อาทิตย์ละ 5 ครั้งหยุดแสงสองวันคือ พฤหัส – ศุกร์ เริ่มวันนี้ก็ได้ฉายแสงเลย ตื่นเต้นมาก เพราะไม่รู้จะเจ็บปวดหรือเปล่า แสงจะเป็นยังไง พอถึงคิว เค้าเรียกไปห้องขีดเส้น หาบริเวณที่จะฉายแสง แล้วก็พาลงมารอคิวฉายแสง เค้าให้นอนอยู่บนแท่นฉายแสง เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ตัวใหญ่ ๆ เหมือนเราจะเข้า CT Scan เปิดตรงบริเวณที่จะฉาย ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย สัปดาห์แรก ไม่มีอาการอะไรมาก ปกติแทบทุกอย่าง แต่พอเข้าสัปดาห์ที่สอง ทองเสียทุกวัน แผลที่ลำไส้ที่เอามาไว้หน้าท้อง มีเลือดซึมออกมา สัปดาห์ที่สามมีแผลที่ก้น ประมาณเม็ดผื่นคัน แล้วแตกเป็นแผล ต้องไปโรงพยาบาลเอายามากิน ทา จึงหาย มีอาการปัสสาวะบ่อยมาก ทุกชั่วโมง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีปัสสาวะเล็ดเหมือนออกไม่หมด จนครบ 25 ครั้งอาการเริ่มทุเลาลง ทุกวันเสาร์จะต้องพบหมอก่อนจะฉายในอาทิตย์ต่อไป เพื่อดูอาการ ผลข้างเคียง แต่ผลเลือดทุกครั้งก่อนทำการฉายแสงในอาทิตย์ต่อมา บางคนบริเวณที่ฉายแสงจะดำ มีอาการแสบร้อน มีแผลหนอง หรือผิวหนังแข็งบริเวณที่ฉาย แต่เราโชคดี ไม่เป็นอะไรมาก มีแผลก็นิดหน่อย กินยาทายา ก็หาย จากนั้นหมอก็นัดให้มาใส่แร่อีก 4 ครั้ง

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง เยื่อบุโพรงมดลูก

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาเป็นโรคที่ใครเป็นแล้วมักจะไม่รอด. ฉันมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้น้อยลงกว่าที่คิดแล้ว ในวันที่ไม่สบายมาก ๆ แล้วไปหาหมอมาหลายโรงพยาบาลจนได้รู้ว่า เจอก้อนเนื้อที่มดลูก แล้วคุณหมอบอกว่า คาดว่าจะเป็นเนื้อร้าย เพราะดูจากลักษณะก้อนเนื้อ จากอาการที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ทุกอย่างหยุดนิ่ง หยุดหมุน สมองไม่วิ่ง เหมือนโลกหยุดนิ่งอยู่แค่ฉันคนเดียว ทำไม ทำไม ก็ในเมื่อเราก็ตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกปี ไปหาหมอประจำไม่ได้ประมาท แต่ก็มาเจอจนได้ ในระยะที่หนักหนาสาหัสมาก ก้อนเนื้อใหญ่ประมาณ 12 ซม.อยู่ใกล้กับรังไข่ และสำไส้ใหญ่ ฉันต้องทำการผ่าตัดด่วน โชคดีที่ได้คุณหมอที่มีจรรยาบรรณของแพทย์สูงมาก ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจว่า ไม่เป็นไร มันเป็นที่ตัดได้ รักษาได้ หลังจากนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 วัน ระหว่างรอผลของน้ำที่นำไปตรวจ และรอผลจากห้องแลป 12 มกราคม 2555 ก็ต้องเข้าห้องผ่าตัด ซึ่งคุณหมอบอกว่า เป็นเคสผ่าตัดใหญ่มาก ไม่เอาแผลสวย เอาชีวิตไว้ก่อน บายสามโมงเย็นฉันโดนเข็นไปห้องผ่าตัด ในใจกลัวมาก กลัวไม่ฟื้นกลับมาเห็นหน้าพ่อแม่อีก แต่ภายนอกคงไม่มีใครรู้ว่าฉันกลัวขนาดไหน เพราะฉันยังพูดคุยกับผู้คนจนนาทีสุดท้ายก่อนออกจากตียงคนไข้ เข้าไปในห้องผาตัด ก็โดนบล็อกหลัง เหมือนไฟฟ้าวิ่งเข้าสู่ร่างกาย เจ็บจี๊ด สะดุ้งไป แล้วก็ชาไปหมดในช่วงล่าง หมอจัดท่าทางยังไงก็รู้สึกหมด สักพักเค้าก็เอายามาให้ดม แล้วก็มีอาการหายใจขัด ฉันพยายามจะยื้อลมหายใจสุดท้าย แต่ก็ไม่สามารถทำได้ แล้วฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย
สามทุ่มมีความรู้สึกว่ามีคนเรียกชื่อ แต่ไม่สามารถลืมตาได้ รู้สึก ได้ยิน ได้ยินเสียงพ่อ เสียงน้องสาวคนเล็ก น้องคนรอง เสียงคุณ แต่ความรู้สึกตอนนั้นฉันหนาวมาก หนาวที่สุดที่เคยหนาวมา เลยพูดออกไปว่า หนาว แล้วก็รู้สึกว่ามีผ้าห่มมาห่มเพิ่มให้ ได้ยินเสียงพ่อบอกว่าจะกลับก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาหาใหม่ แล้วพยาบาลก็บอกว่าให้นอนหลับไปเลยนะ แต่ฉันมีอาการคลื่นใส้ แล้วก็อาเจียนออกมา 2 ครั้ง เจ็บแผลมาก พยาบาลเอาผ้ามาเช็ดให้ ฉันนอนอยู่ใน ICU อยู่สองคืน สองวัน คุณหมอมาบอกว่า เป็นการผ่าตัดใหญ่มาก ใช้หมอถึง 4 คนในการผ่าตัดครั้งนี้ เนื่องจากก้อนเนื้อที่คิดว่าตอนแรกคือมะเร็งรังไข่ แต่จริง ๆ คือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ที่ออกมาโตข้างนอกโพรงมดลูก ใหญ่ขนาด 12 ซม. แล้วไปทับกับลำไส้ใหญ่ เกาะแน่นจนคุณหมอต้องทำการเลาะก้อนเนื้อออกจากลำไส้ แต่เนื่องจากมีแผลที่ลำไส้ คุณหมอกลัวเชื้อมะเร็งจะไม่หมดจึงตัดสินใจตัดลำไส้ส่วนที่ก้อนเนื้อทับออกและเอาสำไส้มาไว้ที่หน้าท้องก่อน จนกว่าจะรักษาจนปลอดเชื้อจึงค่อยมาว่ากันเรื่องเอากลับไปไว้ที่เดิม แล้วฉันก็ได้ออกมาอยู่ห้องปกติ ฉันรอดตายแล้ว เพื่อน ๆ พี่ๆ ที่ทำงานไปเยี่ยมกันไม่หยุด เยอะมาก ขอบคุณมากมาย เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดจริงๆ เวลาเราไม่สบายแล้วมีคนไปเยี่ยม กระเช้าดอกไม้ ตระกล้าของเยี่ยมเยอะเต็มไปหมด แต่ก็ยังกินอะไรไม่ได้ น้ำหนักฉันลดลงจากก่อนที่จะผ่าตัด 10 กิโลกรัม ก่อนหน้านั้นน้ำหนักก็ลดอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันผอมลงรวม ๆ 20 กิโลได้ เป็นภาพลักษณ์ใหม่ของฉันเลยก็ว่าได้ ฉันต้องอยู่โรงพยาบาลรวมทั้งหมดตั้งแต่ผ่าตัดจนเดินได้ 7 วัน ผิดคาดมาก เพราะฉันคิดว่าฉันคงจะนอนโรงพยาบาลนานมากแน่ ๆ เพราะแผลใหญ่ พ่ออยู่ด้วย 3 คืน ก็ให้พ่อกลับบ้าน เพราะเป็นห่วงแม่ แม่ก็ไม่สบ ายอยู่ด้วย ต้องมาอยู่กับหลานแค่สองคน อดเป็นห่วงไม่ได้ และฉันก็ดีขึ้นทุกวัน จนเริ่มเดินได้แล้ว น้อง ๆ ผลัดกันไปนอนเผ้า
แล้วฉันก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ดีใจมาก ๆ เพราะเบื่อและกังวลไปหมดเวลาอยู่โรงพยาบาล กังวลกลัวมันจะกลับมาอีก กลัวรักษาไปแล้วไม่ดีขึ้น มันเหนื่อย มันท้อ พอได้ออกจากโรงพยาบาลเหมือนได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ เหมือนเป็นคนปกติ ที่ไม่ต้องเป็นภาระใครอีก อาการฉันดีขึ้นตามลำดับ ดำเนินชีวิตปกติ ฉันได้รับข่าวดีจากบริษัทฯ ว่า อนุญาตให้หยุดงานรักษาตัวได้ 6 เดือน และยังให้เงินเดือนเหมือนเดิมตลอดระยะเวลาที่หยุด ฉันดีใจมาก ๆ เพราะก่อนหน้านั้นฉันกังวลเรื่องนี้ตลอด ถ้าไม่สบาย ทำงานไม่ได้ แล้วจะมีเงินที่ไหนรักษาตัวและใช้ชีวิต ต้องไปเป็นภาระพ่อแม่ และน้อง ๆ ซึ่งไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ฉันกลัวตลอดเวลา ที่จะเป็นผู้หญิงที่ทำอะไรไม่ได้ เป็นภาระคนอื่น ครอบครัวไม่มีใคร ตัวคนเดียว มันช่างเดียวดายอะไรเช่นนี้ พอได้รับข่าวดีนี้ รู้สึกขอบคุณบริษัทฯ ขอบคุณผู้บริหาร ที่กรุณา สงสาร รอให้รักษาตัวจนหายแล้วกลับไปทำงานได้ ก็ยังพอมองเห็นอนาคตว่าฉันจะสู้ต่อไป

มีบทความดี ๆ มาฝาก

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมะเร็งมดลูกเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 ของมะเร็งอวัยวะสืบ
พันธุ์สตรีไทย ผู้คนชอบนำไปสับสนกับมะเร็งปากมดลูก ที่พบบ่อยเป็นอันดับ 1 โรคนี้ถ้ามาพบ
แพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มมีอาการมักรักษาได้หายค่อนข้างสูง ดังนั้นมาทำความรู้จักโรคนี้กันดีกว่าค่ะ

มดลูกคืออะไร?

มดลูกเป็นอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายชมพู่คว่ำอยู่เชื่อต่อด้านบนขอช่องคลอด เป็นที่ให้ทารกฝังตัว
และเจริญเติบโต เยื่อบุโพรงมดลูก คือ ผิงด้านในของมดลูกซึ่งในวัยเจริญพันธุ์ จะหนาตัวขึ้นทุก
เดือนเพื่อรับการฝังตัวของ ตัวอ่อน (ทารก) หากเดือนใดไม่มีการตั้งครรภ์เยื่อบุโพรงมดลูกจะ
สลายตัว ออกมาเป็นประจำเดือน (ระดู)

ส่วนปากมดลูกคือส่วนล่างสุดของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด ปีกมดลูกก็คือ รังไข่และท่อนำ
ไข่ ที่อยู่ 2 ข้างเชื่อมต่อกับโพรงมดลูก

มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกพบบ่อยแค่ไหน?

ในประเทศไทย พบบ่อยเป็นอันดับ 3 ของมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรี โดยพบประมาณ 3 คน/
แสนราย/ปี ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา หรือยุโรป พบบ่อยเป็นอันดับ 1

ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา ที่เริ่มมีลักษณะความเป็นอยู่คล้ายคลึงประเทศแถบ
ตะวันตกมากขึ้นทุกที จึงพบการเกิดมะเร็งชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก?

มะเร็งชนิดนี้เติบโตได้โดยการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ดังนั้นภาวะใดก็
ตามที่ทำให้มีฮอร์โมนเหล่านี้มากผิดปกติก็จะทำให้เสี่ยงต่อ การเป็นมะเร็งชนิดนี้ด้วย ได้แก่
1.การได้รับฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมีได้ 2 กรณีด้วยกัน
1.1 ฮอร์โมนวัยทอง ฮอร์โมน วัยทองมีหลายชนิดและหลายส่วนประกอบ บางชนิด
(เอสโตรเจนอย่างเดียวไม่มีโปรเจสโตเจน) สามารถกระตุ้นโรคนี้ได้มาก บางชนิด
(เอสโตรเจนที่มีโปรเจสโตเจนร่วมด้วย) ก็ไม่ทำให้เป็นโรคนี้ ดังนั้นผู้ที่รับประทานฮอร์
โมนวัยทองควรปรึกษาแพทย์ก่อน และอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์
1.2 สมุนไพร ยา สมุนไพรบางชนิดมีเอสโตรเจนปริมาณสูง เช่น กวาวเครือ และอีก
หลายชนิดมีเอสโตรเจนแฝงอยู่โดยไม่รู้ การรับประทานสมุนไพรบางตัวจึงอาจทำให้
เลือดระดูออกผิดปกติหรือเสี่ยงต่อการ เกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
2.ความอ้วนในชั้นไขมันของคนเราเป็นที่สะสมของเอสโตรเจน ดังนั้นยิ่งอ้วนมากยิ่งมีความ
เสี่ยงเป็นโรคนี้มากขึ้น
3.ยารักษามะเร็งเต้านม ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัด บางรายแพทย์แนะนำให้รับประ
ทานยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำ (ทามอกซิเฟน) ซึ่งยานี้มีลักษณะคล้ายฮอร์โมนเอสโตร
เจนจึงกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกผิด ปกติได้ จึงสมควรได้รับการตรวจติดตามอย่าง
ใกล้ชิด
4.ภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง ซึ่งมักมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เมื่อเป็นมากๆ อาจมีสิว
ผิวมัน ขนดกร่วมด้วยกลุ่มนี้มีเอสโตรเจนสูงเช่นกัน
5.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมมีโอกาสกลาย
เป็นมะเร็งได้

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก ได้แก่
1.เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
2.ประวัติพันธุกรรม ญาติสายตรง เป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อย่าเพิ่งตกใจนะคะ เพราะการมีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็น
มะเร็งแต่จะได้เฝ้าระวัง ดูแลและรีบมาพบแพทย์เมื่อมีอาการ

ป้องกันได้ไหม?

พบว่าการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ นอกจากนั้น
ยังช่วยกันการเกิดมะเร็งรังไข่ด้วย

มีอาการอย่างไร?

โชคดีมาที่โรคนี้มักเริ่มแสดงอาการแต่เนิ่นๆ นั่นคือ มีเลือดออกทางช่องคลอด เนื่องจากมะเร็ง
ชนิดนี้มักเกิดหลังอายุ 50 ปี ดังนั้น ผู้หญิงทุกคนที่มีเลือดออกหลังหมดประจำเดือนไปแล้วควร
รีบมาพบแพทย์

ผู้ที่ยังไม่ถึงวัยทอง แต่ถ้ามีอาการเลือดออกผิดปกติที่ไม่ใช่รอบเดือน เช่น ออกกระปริดกระ
ปรอย หรือออกมามากและนานกว่าปกติ คือเกิน 7 วันต่อรอบ ก็ควรมาพบแพทย์เช่นกัน โดย
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงข้างต้น อย่าลืมว่ายิ่งพบแต่ระยะแรกโอกาสหายยิ่งสูง มีอาการ
ผิดปกติอย่านิ่งนอนใจนะคะ ส่วนกรณีที่โรคเป็นมากแล้ว อาจมีอาการของมดลูกโตขึ้น ปวดท้อง
น้อย คลำได้ก้อนในท้องน้อย มดลูกไปกดกระเพาะปัสสาวะทำให้ปัสสาวะบ่อยหรือกดทวารหนัก
ทำให้อุจจาระลำบากได้ค่ะ

วินิจฉัยอย่างไร

การวินิจฉัยที่แน่นอนได้จากการนำเยื่อบุโพรงมดลูกไปตรวจทางพยาธิวิทยา (ส่องกล้องย้อม
เซลล์ดู) ซึ่งมักต้องขูดมดลูกให้ได้เนื้อเยื่อไปตรวจ

ในผู้ทีเคยมีบุตรแล้ว การขูดมดลูกทำได้โดยฉีดยาชา ส่วนผู้ที่ยังโสด หรือไม่เคยมีบุตรแพทย์มัก
วางยาสลบให้ไม่เจ็บ สามารถกลับบ้านได้หลังขูดมดลูก

ฟังแล้วอย่าเพิ่งกลัวนะคะ เมื่อมีอาการผิดปกติ คุณหมอตรวจแล้วจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป หากดู
แล้วไม่ค่อยเหมือนมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ก็คงไม่ต้องขูดมดลูกค่ะ

รักษาอย่างไร?

ทำได้โดยการผ่าตัด ซึ่งได้แก่ การตัดเอามดลูก ปากมดลูก ปีกมดลูก (รังไข่และท่อนำไข่) ออก
ร่วมกับการล้างน้ำในช่องท้องและสุ่มตัดต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ

การผ่าตัดจะช่วยทำให้ทราบว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของโรค หากพบว่าเป็นระยะแรก กล่าวคือ มี
มะเร็งอยู่เฉพาะที่เยื่อบุโพรงมดลูก ยังมีการลุกลามเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูกไม่มาก ไม่มีการ
กระจายของโรคไปอวัยวะอื่น การผ่าตัดที่กล่าวมาก็เพียงพอในการรักษา ไม่จำเป็นต้องได้รับ
การรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติมผลการรักษาดีมาก

หากพบว่าเริ่มมีการลุกลามของมะเร็งลึกขึ้น หรือกระจายไปในอวัยวะข้างเคียง หลังผ่าตัดจำเป็น
ต้องได้รับรังสีรักษา (ฉายแสง) ร่วมด้วย โดยรังสีแพทย์จะพิจารณาฉายแสดงภายนอกหรือใส่
แร่ที่ช่องคลอด หรือทั้งสองวิธี แล้วแต่กรณี

ในกลุ่มที่มีการกระจายของโรคไปไกลๆ เช่น ช่องท้องด้านบน ตับ ปอด อาจต้องให้เคมีบำบัด
ร่วมด้วย ซึ่งผลการรักษาไม่ดี

สรุป

โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมีข้อดีคือ มักมีอาการเตือนแต่แรกเริ่ม กล่าวคือมีเลือดออกผิดปกติ
ทางช่องคลอด ดังนั้นการพบแพทย์ตั้งแต่เริ่มมีอาการผิดปกติจะช่วยให้รักษาได้แต่เนิ่นๆ โดย
ผ่าตัดเพียงอย่างเดียว โอกาสหายสูง

ข้อมูลจากบทความสาระน่ารู้เรื่องสุขภาพ โรงพยาบาลรามาธิบดี